วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจําวัน


ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจําวัน
การทักทาย (Greetings)
การทักทาย คำทักทายที่ควรทราบมีดังนี้
Good morning สวัสดี (เช้าถึงเที่ยงวัน)
Good afternoon สวัสดี (หลังเที่ยงวันถึงช่วงเย็น)
Good evening สวัสดี (ช่วงเย็นถึงกลางคืน)
Good day สวัสดี (ตลอดวัน)
Hello/Hi สวัสดี (เพื่อนหรือคนรู้จักทั่วไป)
การสอบถามทุกข์-สุขสำนวนที่ใช้สอบถามว่าสบายดีหรือ ได้แก่
How are you? (เน้นเรื่องสุขภาพ)
How are you going? (อังกฤษ) How are you doing? (อเมริกัน)
How’s it going? (เน้นความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน)
How have you been? (ในกรณีนาน ๆ เจอกันที)
How’s your life?
How’s everything?
How are things (with you)?
การตอบ ตัวอย่างการตอบ ได้แก่
(I'm) fine, thanks. And you? สบายดี ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ
Good. สบายดี
Very well สบายดีมาก
I'm O.K. ก็ดี
So so. ก็งั้น ๆ
Not (too) bad ก็ไม่เลว
Great! เยี่ยม, วิเศษ
การอำลา (Leave Taking)
การอำลา ตัวอย่างคำกล่าวลา ได้แก่
See you again….. พบกันใหม่ ….. (เป็นทางการ) เช่น
(เช่น See you again tomorrow/next time/next week/next month/next year/on Monday. เป็นต้น)
See you later/soon/then. เดี๋ยวเจอกันนะ
Have a nice day/time. โชคดีนะ/วันนี้ขอให้มีความสุขนะ
Have a nice holiday. ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะ
Have a nice weekend. ขอให้มีความสุขในวันสุดสัปดาห์นะ
Have a good time. ขอให้มีความสุขนะ/ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ
Have a good/nice trip ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ
Take care (of yourself) ดูแลตัวเองด้วย/รกษาเนื้อรักษาตัวด้วย ั
Sweet dreams / Sleep well ฝันดีนะ/นอนหลับให้สบายนะ
Good luck./Be successful. โชคดี/ขอให้ประสบความสำเร็จ
Good night. ราตรีสวัสดิ์/ไปแล้วนะ (ใช้ลาตอนกลางคืน)
Goodbye/Bye ไปแล้วนะ/ไปล่ะ
การแนะนำตนเองและผู้อื่น (Introducing Oneself and Others)
การแนะนำตนเอง
Let me introduce myself. ขอแนะนำตัวเอง
May I introduce myself? ขอแนะนำตัวเอง
I’m/My name’s Udom Chaiyo. ผมชื่ออุดม ไชโย
I'm Thai. ฉันเป็นคนไทย
I'm from Thailand. ผมมาจากประเทศไทย
I'm a student at …….. College. ฉันเป็นนักเรียนที่วิทยาลัย…..
I study at …………… College. ผมเรียนอยู่ที่วิทยาลัย …..
I’m teaching at …………… College. ผมสอนอยู่ที่วิทยาลัย …..
I’m a teacher of ….. at ….. College. ผมเป็นครูวิชา …..ที่วิทยาลัย …..
I work at ….. College. ฉันทำงานที่วิทยาลัย …..
I live in Chonburi. ผมอยู่ชลบุรี
I'm in the first year. ผมอยู่ปี 1
I'm a second year student. ฉันเป็นนักเรียนปี 2
I study ………………. ผมเรียนสาขา ……..
My field of study is …………. สาขาวิชาที่ผมเรียนคือ …………
My college is in Rayong. วิทยาลัยฉันอยู่ที่ระยอง
อื่น 
Certificate of Vocational Education ประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)
Diploma of Vocational Education ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)
การแนะนำผู้อื่น
This is Peter. นี้คือปีเตอร์
I'd like you to know Peter. ผมอยากให้คุณรู้จักปีเตอร์
I'd like to introduce you to Wanna.ผมอยากแนะนำคุณให้รู้จักวรรณา
I want to introduce my friend May. ผมอยากจะแนะนำเมย์เพื่อนผม
I want you to meet my friend John.ผมอยากให้คุณพบจอห์นเพื่อนผม
Here's Sawat and that's Suphon. นี่สวัสดิ์ และนั่นสุพล
คำแสดงความยินดีที่ได้รู้จัก ได้แก่
(It’s) nice/good to meet/see you.
(I’m) pleased to meet/see you.
(I'm) glad to meet/see you.
It's a pleasure to meet you.
การตอบ ให้เพิ่มคำว่า too ที่หมายถึง'เช่นเดียวกัน’ เช่น
Nice to see you, too. ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกัน
การให้และขอข้อมูลส่วนบุคคล (Giving and Asking for Personal Information)
ข้อมูลส่วนตัว
How old are you? คุณอายุเท่าไร
(I'm) seventeen. ผมอายุ 17 ปี
How tall are you? คุณสูงเท่าไร
I'm 170 centimeters tall. ฉันสูง 170 ซ.ม.
How much do you weigh? คุณหนักเท่าไร
(I weigh) 65 kilograms. (ผมหนัก) 65 กิโลกรัม
ข้อมูลครอบครัว
How many people are there in your family?มีกี่คนในครอบครัวคุณ
How many brothers and sisters do you have? คุณมีพี่น้องกี่คน
I have 2 brothers/sisters. ผมมีพี่น้องผู้ชาย/หญิง 2 คน
I don't have any brothers or sisters. ผมไม่มีพี่น้องเลย
There are 7 people in my family. ครอบครัวผมมี 7 คนด้วยกัน
My grandparents live with us. ปู่ ย่า (ตา ยาย)อยู่กับเราด้วย
What does your father do? พ่อคุณทำงานอะไร
My father is a teacher. พ่อผมเป็นครู
Does your mother work? แม่คุณทำงานหรือเปล่า
She works with government. แม่เป็นข้าราชการ
She doesn't work. แม่ไม่ได้ทำงาน
What do you want to be (in the future)? คุณอยากเป็นอะไร(ในอนาคต)
I want to be a pilot. ผมอยากเป็นนักบิน
I haven't decided yet. ยังไม่ได้ตัดสินใจ
การขอบคุณ (Thanking)
การขอบคุณ สำนวนที่ใช้ในการขอบคุณ ได้แก่
Thanks you (very much). ขอบคุณ (มาก)
Thanks (a lot). ขอบใจ (มาก)
Thank you for …………….. ขอบคุณสำหรับ เช่น
Thank you for your present. ขอบคุณสำหรับของขวัญ
Thank you for everything. ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
Thank you for your help. ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณ
I really appreciate that. ผมรู้สึกประทับใจจริง ๆ
การตอบรับคำขอบคุณ
You’re welcome. ไม่เป็นไร
Don't mention it. ไม่เป็นไร
Not at all. ไม่เป็นไร
It's nothing. ไม่เป็นไร
That's all right. / That's O.K. ไม่เป็นไร
(It's) a pleasure. ด้วยความยินดี
My pleasure./With pleasure. ด้วยความยินดี
Don’t worry (about it). อย่ากังวลไปเลย
No problem. ไม่มีปัญหา
การขอโทษ (Apologizing)
การขอโทษ สำนวนที่ใช้ในการขอโทษ ได้แก่
I’m sorry. ผมขอโทษ
I’m sorry. I’m late. ขอโทษที่มาช้า
I’m sorry I troubled you. ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบาก
Excuse me, please. ขอโทษครับ/ค่ะ
Excuse me for interrupting. ขอโทษที่รบกวน
Excuse me for a moment. ขอโทษขอเวลาสักครู่
การให้อภัย สำนวนที่ใช้ในการตอบรับคำขอโทษ
That’s all right. ไม่เป็นไร (ตอบรับคำขอโทษ)
Don’t worry (about it). อย่ากังวลไปเลย
No problem. ไม่มีปัญหา
That's O.K. หรือ I'm O.K. ไม่เป็นไร หรือ ผมไม่เป็นไร

การถามเวลา (Asking for Time)

การถาม
Excuse me. What time is it? ขอโทษครับ กี่โมงแล้วครับ
Could you tell me the time, please? ขอโทษครับกี่โมงแล้ว
Do you have a time? กี่โมงแล้ว (คุณมีนาฬิกาไหม)
การตอบ
(It's) seven o'clock. 7 นาฬิกา
Six twenty/Twenty past six 6.20
Five to four/Three fifty-five 3.55
A quarter past eight/Eight fifteen 8.15
Half past ten/Ten thirty 10.30
A quarter to ten/Nine forty-five 9.45
Noon เที่ยงวัน
Midnight เที่ยงคืน
In the morning ตอนเช้า
In the afternoon ตอนบ่าย
In the evening ตอนเย็น
At night ตอนกลางคืน

ที่มา : https://sites.google.com/site/hnmanavee/prayokh-phasa-xangkvs-thi-chi-ni-chi-wit-pra-caa-wan

เกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน



เวลาที่พูดทักทายกันโดยปกติเราเคยได้ยินหรือใช้เพียงแค่ How are you? ใช่ไหม 
ประโยคข้างล่างนี้ใช้แทนกันได้ จำๆเอาไว้นะ 
เวลาได้ยินประโยคพวกนี้จะได้เข้าใจว่าเขาถามเราว่า How’re you?

How’s it been? ที่ผ่านมา เป็นยังไงบ้าง
How have you been?
How have you been up to?
How’s it going?
How’s everything?

What’s new? (informal) ไงวะ
What’s up? (informal)

เคยบ้างไหมที่บางทีเราเดินเล่นอยู่ดีๆ ก็เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานมากๆๆๆ อยากรู้ไหมว่าสถานการณ์แบบนี้เขาทักทายกันอย่างไร มาดูกันเลย......... 

I haven’t seen you in year! ไม่เจอกันนานเลยนะ
Long time no see! (informal)
I haven’t seen you in an age!

หลังจากที่ทำการทักทาย และมีการถามว่าสบายดีไหม 
เราก็ต้องตอบออกไปทำนองว่า ดี งั้นๆ หรือแย่ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรา ไม่ใช่ตอบ I’m fine. อย่างเดียว มาดูกันนะครับว่าที่อเมริกาเขาตอบกันอย่างไร 
ตอบในแง่สุขภาพหรือไม่ก็ สบายดี แข็งแรง 

I’m fine. สบายดี
Fine.
Okay.
All right.
Great.
Keeping cool.
I’m cool. (slang) สบายดีว่ะ

ตอบในแง่บวก ประมาณว่า ดี ไม่มีปัญหา 

Keeping out of trouble. ไม่มีปัญหา
Been keeping out of trouble.
Keeping busy. ดี (แบบทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ)
Keeping myself busy.
Been keeping myself busy.
ตอบในกลางๆ ประมาณว่า งั้นๆ 

Same as always. เหมือนเดิม
Same as usual.
Getting by. ก็อยู่ได้นะ
Been getting by.
So-so. (informal) งั้นๆว่ะ

ตอบในแง่ลบ ประมาณว่า แย่ ไม่ดี
Not good. ไม่ดีเลย
Not so good.
Not well.
Not very well.
Not so well.
Not great.
Not so great.
Crummy. (slang) แย่ว่ะ
Kind of crummy. (slang)



ที่มา : http://www.pasa24.com/view/page.aspx?p=everyday-used-English

20 สุดยอดคำคมน่าคิด ว่าด้วยเรื่องชีวิตและความรัก

  

ในการเดินทางของชีวิต คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องมีแรงบันดาลใจ และทัศนคติในการใช้ชีวิตเสมอ เพื่อพาตัวเองให้ไปถึงจุดหมายที่ตัวเองได้คาดหวังไว้



Never let someone else's happiness become more important than your own.
อย่าปล่อยให้ความสุขของคนอื่น
สำคัญมากไปกว่าความสุขของตัวเราเอง

Don't try to understand everything.
Sometimes it is not meant to be understood, just acceped.
อย่าพยายามทำความเข้าใจกับทุกอย่างในชีวิต
เพราะบางอย่างก็ไม่ได้เกิดขึ้นให้เราทำความเข้าใจ
แต่ให้เรายอมรับมันเท่านั้น

No relationship is all sunshine, but people can share one umbrella
and survive tht storm together.
เมื่อความรัก.. ไม่ได้มีแค่วันที่ฟ้าใส
คนสองคนก็สามารถกางร่มคันเดียวกันได้
และผ่านพ้นพายุฝนไปด้วยกัน

It's not about who you've been with,
it's about who you end up with.
Sometimes the heart doesn't know what it wants
until it find what it needs.
ไม่สำคัญว่าคุณเคยคบใครมาก่อน
สำคัญที่คุณหยุดที่ใครต่างหาก
บางครั้งหัวใจก็ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร
จนกระทั่งมันได้ค้นพบบางสิ่งที่ทำให้รู้ว่า
"นี่แหละคือสิ่งที่หัวใจค้นหามานานแล้ว"

Sometimes you need those bad days 
because it helps you truly appreciate the good ones.
บางครั้ง คนเราก็ต้องเจอกับวันที่เลวร้ายบ้าง
เพราะมันช่วยให้เราเห็นคุณค่าของวันดี ๆ ในชีวิต

You can't recycle wasted time.
คุณไม่อาจดึงเวลาที่สูญเสียไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้

Whatever could have been or should have been, 
doesn't matter. This moment is here and now for you to live.
อย่ามัวแต่ใส่ใจว่าอดีตที่ผ่านมานั้นน่าจะเป็นอย่างไร หรือเราสามารถทำอย่างไรได้
จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น

Never regret. If it's good, it's wonderful.
If it's bad, it's experience.
อย่าเสียดายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
หากมันดี มันก็เป็นเรื่องที่ดี
แต่หากมันเลวร้าย มันก็เป็นประสบการณ์ชีวิต

Sometimes removing some people out of your life makes room for better people.
บางครั้งการลบใครบางคนออกไปจากชีวิต 
ก็ทำให้เรามีที่ว่างสำหรับคนที่ดีกว่า

You can't blame someone for walking away
if you didn't do anything to make them stay.
คุณไม่อาจโทษคนที่เดินจากคุณไปได้
หากคุณไม่เคยทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้เขาอยู่กับคุณ

Don't get burned twice by the same flame. (Chistian Kondo)
อย่าปล่อยให้เปลวไฟกองเดิมลุกไหม้เราได้อีกครั้ง
The most valuable lessons in life cannot be taught, they must be experienced.
บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้
เราต้องสัมผัสกับมันด้วยตัวเองเท่านั้น

Getting angry is punish yourself with other people's mistakes.
ความโกรธ เป็นแค่การหยิบความผิดพลาดของคนอื่นมาลงโทษตัวเองเท่านั้น

From every wound there is a scar.
Every scar tells a story,
a story that says "I SURVIVED". (Craig Scott)
ทุกบาดแผลที่เกิดขึ้น ล้วนมีรอยแผลเป็น
ทุกรอยแผลเป็นที่ปรากฏ ล้วนบอกเล่าเรื่องราวความเจ็บปวด
และเรื่องราวความเจ็บปวดนั้นแหละ ที่แสดงให้เห็นว่า
"เราผ่านพ้นมันมาได้แล้ว"

The secret of being happy is accepting where you are in life
and making the most out of every day.
ความลับสู่ความสุข คือการยอมรับในจุดที่เรายืนอยู่ในชีวิต
และทำทุก ๆ วันให้ดีที่สุด

Honestly I don't have time to hate people who hate me,
because I'm too busy loving people who love me.
พูดตรง ๆ ว่าฉันไม่มีเวลาไปเกลียดคนที่เกลียดฉันหรอก
เพราะฉันเอาเวลาไปรักคนที่รักฉันหมดแล้ว

Not everything will go as you expect in your life.
This is why you need to drop expectations, and go with the flow of life.
ในชีวิต ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เราคาดหวังซะทุกอย่าง
นั่นคือเหตุผลที่คนเราต้องลดความคาดหวังลงบ้าง 
แล้วปล่อยชีวิตให้ไหลไปตามกระแสของมัน

The more you try to control something, the more it controls you.
Free yourself and let things take their own natural course. (Leon Brown)
ยิ่งคุณพยายามควบคุมบางอย่างมากเท่าไร
มันก็ยิ่งย้อนกลับมาควบคุมตัวคุณมากเท่านั้น
ปลดพันธนาการตัวเองออกจากสิ่งเหล่านั้นเสียบ้าง
แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของมัน

The things you say about others,
also say a lot about you. (Mark Amend)
ทุกสิ่งที่คุณพูดถึงคนอื่น ล้วนบ่งบอกถึงตัวตนของคุณด้วย

There are two ways to being rich.
One is to have all you want, the other is to be satisfied with what you have.
ทางสู่ความร่ำรวยนั้นมีอยู่ 2 ทาง
หนึ่ง.. คือการมีทุกอย่างที่ต้องการ
และ สอง.. คือการพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่


ที่มาhttp://hilight.kapook.com/view/78813

25 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ที่คุณไม่เคยสังเกต


1 ภาษาไทยเรียกเลขเดิมที่เรียงกัน 3 ตัวว่าตอง เช่น 999 คือตองเก้า ภาษาอังกฤษก็มีคำที่มีความหมายคล้ายกัน เรียกว่า repdigit ซึ่งใช้เรียกจำนวนที่ประกอบด้วยเลขเดิมซ้ำๆ เช่น 555; 2,222; 9.99; 44,444
2. ในภาษาอังกฤษมี 2 คำที่ลงท้ายด้วย -gry คือ angry กับ hungry โมโหหิวขึ้นมาเลย
3. คำว่า uncopyrightable คือคำที่ยาวที่สุดในพจนานุกรมภาษาอังกฤษที่ไม่มีตัวอักษรซ้ำกันเลย

4. อักษร e คืออักษรที่ใช้มากที่สุดในภาษาอังกฤษ
5. สระในภาษาอังกฤษที่เจอได้บ่อยรองจาก e คือ a
6. ส่วนพยัญชนะที่พบบ่อยสุดคือ r รองลงมาก็ t (เอาไว้เวลาเล่น hangman)
7. หลายคนคงรู้จักประโยคที่ประกอบด้วยอักษรทั้งหมด 26 ตัวคือ The quick brown fox jumps over the lazy dog. ประโยคที่ประกอบด้วยตัวอักษรทุกตัวในภาษาใดภาษาหนึ่งเรียกว่า pangram

8. bookkeeper คือคำเดียวในภาษาอังกฤษที่มีอักษรเบิ้ลถึง 3 คู่ โดยไม่มี – คั่นระหว่างคำ
9. คำเดียวที่ลงท้ายด้วย -mt คือ dreamt ซึ่งเป็นอีกเวอร์ชั่นของ dreamed
10. คำศัพท์ที่เกิดจากการนำ 2 คำมารวมกัน (คล้ายๆ คำสนธิ) สำหรับภาษาอังกฤษเรียกว่าportmanteau เช่น brunch (breakfast + lunch) หรือ motel (motorcar + hotel)
11. ทุกๆ 2 ชั่วโมงจะมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำใหม่เกิดขึ้น
12. ทำให้แต่ละปีจะมีคำศัพท์เพิ่มมาประมาณ 4,000 คำ
13. time คือคำนามที่ใช้กันบ่อยมากที่สุดในภาษาอังกฤษ

14. คำที่ขึ้นด้วยตัวอักษร s มีจำนวนมากกว่าคำที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรอื่น
15. screeched คือคำพยางค์เดียวที่ยาวที่สุดในภาษาอังกฤษ
16. คำว่าวันมะรืน หรือที่เราเรียกว่า the day after tomorrow นั้น จริงๆ มีชื่อที่เป็นคำเดียวด้วย นั่นคือ overmorrow ส่วนปีที่แล้ว นอกจาก last year ก็สามารถใช้คำว่า yesteryear ได้เช่นกัน (แม้จะเจอในนิยายมากกว่าก็ตาม)
17. ถ้าเขียนเลขเป็นตัวอักษรเช่น one, two, three, … จะไม่มีตัว b เลยจนกว่าจะถึง billion

18. เราเคยได้ยินเรื่อง déjà-vu (เดจาวู) กันมาแล้วซึ่งก็คือการที่เจอประสบการณ์ใหม่ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนเคยเจอมาก่อน ซึ่งเดจาวูก็มีคำตรงข้ามด้วย นั่นคือ jamais-vu (ฌาเมวู) ความรู้สึกใหม่เหมือนไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งที่เราผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว 
19. owl สามารถเป็นกริยาได้ แปลว่าทำตัวฉลาดทั้งที่จริงๆ ไม่รู้อะไรเลย 
20. เครื่องหมาย # มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น hash, pound sign, number sign 
21. ประโยคต่อไปนี้ประกอบด้วยการสะกดที่ต่างกันถึง 7 แบบ ของเสียง “อี” He believed Caesar could see people seizing the seas.
22. คำปกติที่ยาวที่สุดที่ไม่มีสระเลยคือ rhythms
23. คำว่า shit ในสมัยโบราณหมายถึงมูลสัตว์ที่ท้องเสีย
24. ภาษาอังกฤษคือภาษาทางการบนผืนฟ้า ไม่ว่าจะเป็นนักบินสัญชาติใดก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษในเที่ยวบินนานาชาติ
25. คำศัพท์ติดปากที่มักพูดบ่อยๆ ในประโยค ส่วนมากจะออกมาตอนที่กำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรต่อ คำเหล่านี้เรียกว่า crutch word เช่น like (แบบว่า)


ที่มา : http://www.dek-d.com/studyabroad/36600/

14 ศัพท์ฮิตที่คนไทยใช้ผิดบ่อย



รู้หรือไม่ว่า “คำศัพท์” ภาษาอังกฤษฮิตๆ ที่เรามักพูดกันติดปาก ความจริงแล้ว “มันผิด” X บ้างคำใช้ผิดความหมาย บางคำแทบไม่มีในภาษาอังกฤษ หรือบางคำเกิดจากการผสมคำใหม่ขึ้นมาเองของคนไทย เล่นเอาฝรั่งเจ้าของภาษาถึงกับงงกันเป็นแถว อยากรู้แล้วใช่ไหมว่า คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำทุกวันนี้มีคำไหน ที่เราใช้ผิด เข้าใจผิด หรือแต่งเองแบบผิดๆ กันบ้าง…
        
       1. Fitness : เข้าฟิตเนส
       
       “วันนี้ว่างๆ ไปเข้าฟิตเนสกันไหม?” คนไทยมักเข้าใจผิดว่า “ฟิตเนส” คือสถานที่ออกกำลังกาย ถ้าเผลอไปถามฝรั่งว่า คุณไปฟิตเนสที่ไหน? รับรองได้ว่าต้องมีงง เพราะความจริงแล้วคำว่า “Fitness” ในความหมายที่ฝรั่งหรือชาวต่างชาติทั่วไปเข้าใจคือ แปลว่า “สมรรถภาพของร่างกาย” ไม่ใช่สถานที่ออกกำลังกายอย่างที่เราเข้าใจ และถ้าจะสื่อความหมายของสถานที่ต้องใช้คำว่า “Fitness center” หรือใช้คำว่า “gym” เช่น I’m going to the gym. จะดีกว่า 
       
       2. In trend : อินเทรน
       
       ศัพท์ฮิตอีกหนึ่งคำที่มักได้ยินวัยรุ่นใช้บ่อยๆ นั่นก็คือ “อินเทรน” ตามรายการวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ ก็มันจะใช้คำนี้กล่าวถึงวัยรุ่นในปัจจุบันว่า “ทันสมัย” เหลือเกินด้วยคำว่า “in trend” น่าจะมาจากประโยคที่ว่า “It is in trend.” มันทันสมัย แต่สำหรับฝรั่งคำว่า “ทันสมัย” จะไม่ใช้คำว่า “in trend” แต่จะใช้คำว่า “trendy” หรือ “fashionable” เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. 
       
       3. No have : ไม่มี
       
       ถ้าเราจะบอกว่า “ไม่มี” ในภาษาอังกฤษ คนไทยส่วนใหญ่มักจะพูดว่า “No have” ซึ่งแปลตรงตัวว่าไม่มี แต่ในภาษาอังกฤษถ้าจะบอกว่า “ไม่มี” จะใช้คำว่า “have no” หรือ “I don’t have” เช่น I don’t have any money. หรือ I have no money. ฉันไม่มีเงินเลย แต่สำหรับคำว่า “no have” ที่คนไทยมักใช้กันนั้น ในภาษาอังกฤษไม่มีคำนี้ 
       
       4. Out of order : หมด
       
       คำที่คนไทยมักจะเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ อีกหนึ่งคำที่จะสื่อความหมายว่า “สินค้าหมด หรือ หมดสต๊อก” นั่นก็คือ “Out of order” ซึ่งความจริงแล้วคำนี้แปลว่า “ชำรุด ใช้การไม่ได้” ส่วนมากจะพบแปะไว้หน้าห้องน้ำห้องที่ปิดประตู หรือเครื่องหยอดเหรียญต่างๆ ถ้าของหมดก็ให้แปะป้ายไว้ว่า “Sold out” หรือ “run out of ...” ก็ได้ หรือสำนวนที่ว่า “We're all out.” หมายถึง “สินค้าหมด” หรือ “To be out of (something)” ให้ความหมายว่า “หมดสต๊อก” เช่นกัน
       
       5. Stop your mouth : หยุดพูด 
       
       ขอบอกเลยว่าคำนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษ น่าจะเป็นคำว่า “Shut your mouth” มากกว่า หากต้องการให้เพื่อนที่ช่างเม้าท์พูดไม่หยุดของคุณ “หยุดพูด หรือ หุบปาก” จะใช้คำว่า “Shut up” แต่คำนี้จะเป็นคำหยาบในภาษาอังกฤษไม่แนะนำให้ใช้ ถ้าคุยกับเพื่อนให้ใช้ว่า Shut your trap หรือ Shut your neck แต่ถ้าจะให้สุภาพแบบเป็นทางการ ควรใช้คำว่า Please be quiet. หรือ Could you please be quiet?. 
       
       6. Over : โอเวอร์
       
       ถ้าคุณมีเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบพูด ชอบทำอะไรเกินจริง ก็มักจะพูดว่า “She is over” หล่อนดูโอเว่อร์ หรือดูเว่อร์มาก ซึ่งประโยคนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย ฝรั่งจะใช้คำที่สื่อความหมายถึงคนที่ทำอะไรเยอะเกินจริงว่า “exaggerate”เช่น She always exaggerates about her skills. เขาพูดเว่อร์เกี่ยวกับทักษะและความสามารถของเขา 
       
       ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า หล่อนดูโอเว่อร์มาก จะใช้ว่า She is exaggerating. หรือจะบอกว่า “อย่าพูดเว่อร์” ต้องบอกว่า “Don’t exaggerate.” หรือถ้าเพื่อนเราเป็นผู้หญิงที่เยอะมาก แสดงทุกอย่างเกินจริงไปหมด เราจะใช้คำว่า “overreact”เช่น Don't overreact! แปลว่า อย่าเว่อร์ และอีกสองคำที่มีความหมายคล้ายกันคือ Don't overdo it! กับ Don't go overboard with this! 
       
       7. Pretty : พริตตี้สินค้า
       
       ศัพท์คำนี้คงเป็นที่คุ้นหูหนุ่มๆ เป็นอย่างยิ่งเพราะได้ยินที่ไรใจสั่นทุกที หากจะหมายความถึงนางแบบตามงานอีเว้นท์ต่างๆ โดยเฉพาะงาน motor show ความจริงแล้วคำว่า “pretty” ในภาษาอังกฤษ เป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์ (adjective) ที่แปลว่า น่ารัก หรือ สวยน่ามอง เช่น a pretty girl คือ เด็กผู้หญิงน่ารัก ส่วน She has a pretty face. เธอมีหน้าตาน่ารัก 
       
       แต่สรุปแล้ว “พริตตี้” ที่คนไทยเรียก ผู้หญิงสวยๆ ตามงานอีเว้นท์นั้น ฝรั่งจะเรียกว่า “model” ที่แปลว่า “นางแบบ” เพียงแต่ให้ระบุไปว่าเป็นงานไหน เช่น model(s) at exhibitions คือ นางแบบที่งานนิทรรศการ เป็นต้น
       
       8. American share : ต่างคนต่างจ่าย
       
       คำว่า “American share” ที่คนไทยชอบพูด เพื่อสื่อว่า "ต่างคนต่างจ่ายนะ (ในสถานการณ์ที่เราอยู่ในร้านอาหารหรือต้องจ่ายตังอะไรซักอย่าง)" ที่จะทำให้คนอเมริกันต้องงง!!! แน่นอน เพราะจริงๆ ถ้าจะหมายถึง “ต่างคนต่างจ่าย”เป็นสำนวนภาษาอังกฤษเก๋ๆ ก็ต้องใช้คำว่า Let’s go Dutch. หรือ Go Dutch (with somebody). หรือจะใช้ประโยคง่ายๆ เลยว่า You pay for yourself. (จ่ายในส่วนของตัวเองนะ), Let's just pay separately. (แยกกันจ่ายเถอะนะ),หรือ Everyone pays for their own meal. (ทุกคนจ่ายของตัวเองนะ) 
       
       9. Jam : ขอแจมด้วยคน
       
       ในกรณีนี้ “แจม” จะหมายถึง “ขอแจมด้วยคน” ด้วยคน เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า “jam” ในกรณีแบบนี้ ที่ถูกต้องควรจะใช้ว่า “join” หรือ “come with us” เช่น Do you want to join us? หรือ Do you want to come with us? (เธอจะไปกับพวกเราไหม?) จะดีกว่า
       “Jam" นิยมใช้กันมากเหมือนกัน คนดนตรีใช้คำนี้ได้ไม่ผิดกติกา เช่น Jam Session หมายถึงการร่วมเล่นดนตรีร่วมกัน เช่น Vai, Johnson, Gilbert really enjoyed this G3 jam session and they wished to see this again next year. 
       
       10. Back : คนสนับสนุน
       
       “back” คำนี้มีความหมายว่า “หลัง” (อวัยวะ) แต่คนไทยส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า “แบ็ค” เป็นคำกล่าวถึง คนที่คอยสนับสนุนคนๆ หนึ่งเป็นอย่างดี นั่นก็คือ He has a good back. แต่ฝรั่งคงจะงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับหลัง และหลังของเขาดีอย่างไร? ดังนั้น ถ้าใช้ให้ถูกต้องใช้คำว่า “a backup” ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้ เช่น He has a good backup. หรือ "support" ก็เป็นอีกหนึ่งคำที่แปลว่า สนับสนุน นั่นเอง
        
       11. Check bill : เช็คบิล
       
        อีกหนึ่งคำยอดฮิตที่ได้ยินบ่อยๆ "น้องๆ เช็คบิลหน่อย" แต่ความจริงแล้วถ้าเราจะใช้ประโยคว่า “คิดเงินด้วยคะ” คนอังกฤษจะใช้คำว่า “bill (บิล)” เช่น Bill, please. (ขอบิลด้วยครับ) ส่วนคนอเมริกันจะพูดว่า "Check, please." (ขอเช็คด้วยครับ) ซึ่งแปลว่า คิดเงินด้วยครับ/คะ แต่คนไทยมักใช้รวมกันว่า “check bill” ซึ่งผิดควรเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งจะดีกว่า เช่น
       
       Can we get the check/bill, please? (เก็บตังหน่อยครับ)
       Could we have the check/bill, please? (เก็บเงินหน่อยได้มั้ยครับผม) อันนี้เป็นแบบสุภาพ
       
       12. Hi-so : ไฮโซ
       
       คำนี้ ทุกคนเข้าใจว่ามาจาก High Society ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เช่น "คู่นี้เขาเป็นแฟนกันได้อย่างไร? ญาญ่าแต่งตัวไฮโซ ส่วนณเดชแต่งตัวโลโซมาก" เป็นอันว่าคนไทยเข้าใจ แต่เวลาไปสื่อสารกับฝรั่งต่างภาษา ไม่เข้าใจแน่นอน ควรใช้ว่า"Classy" หรือ "Hi-Class" สำหรับการจะบอกว่าใคร ดูดีมีระดับจะดีกว่า
       
       13.Mansion : ห้องพัก
       
       เวลาฝรั่งถามคนไทยว่าพักอยู่ที่ไหน คนไทยบางคนชอบบอกว่าอยู่ “แมนชั่น" หรือ "mansion” แปลว่า “คฤหาสน์" ซึ่งก็อาจจะทำให้ฝรั่งบางคนตาค้าง ในความรวยของเรา ดังนั้น Mansion เป็นศัพท์ที่คนไทยเอามาใช้แบบผิดๆ ถึงแม้ว่า หน้าหอพักจะเขียนว่า ‘แมนชั่น’ ก็ตาม คราวหน้าหากมีฝรั่งมาถามอีกก็ให้บอกว่า เราพักอาศัยอยู่ที่ "Flat" หรือ "Apartment" จะดีกว่า
       
       14. Never mind : ไม่เป็นไร
       
        เรามักจะได้ยินคนไทยส่วนใหญ่เวลาจะพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” สำหรับภาษาไทยนั้นคำว่า ไม่เป็นไรสามารถใช้ได้ทั้งการมีคนมา “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” เรามักจะตอบว่าไม่เป็นไร แต่ไม่ใช้คำว่า “never mind” เพราะที่ถูกต้องแล้ว “never mind” จะแปลว่า “ช่างมันเถอะ หรือ ลืมมันซะ” ตัวอย่างเช่น เวลาที่เราอธิบายอะไรสักอย่างให้เพื่อนฟัง แต่เพื่อนก็ดันไม่เข้าใจสักที เราก็เลยบอกเพื่อนไปว่า “never mind” ช่างมันเถอะ เพราะฉันขี้เกียจอธิบายแล้ว
       
        ถ้าเราจะพูดว่า “ไม่เป็นไร” เวลาที่มีคนมาขอบคุณเราต้องพูดว่า You’re welcome (ด้วยความยินดี), My pleasure (ยินดี), Don’t mention it (ไม่เป็นไร) หรือวลีที่ว่า No biggie และ No big deal แปลว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้ามีคนมาขอโทษแล้วจะบอกว่า “ไม่เป็นไร” เช่น No problem (ไม่มีปัญหา), Don’t worry about it (อย่ากังวล, อย่าคิดมาก) เป็นต้น

ที่มา : http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000096862